ประเด็นสำคัญ:
- แนวทางความรับผิดชอบร่วม (Shared Responsibility Model): SCBX ชูประเด็นสำคัญของการกำหนดบทบาทความรับผิดชอบที่ชัดเจนระหว่างองค์กรภาคธุรกิจและผู้ให้บริการคลาวด์ (Cloud Service Provider) เพื่อสร้างระบบนิเวศคลาวด์ที่มีความมั่นคงปลอดภัยและมีความยืดหยุ่นสูง
- ระบบรักษาความปลอดภัยเชิงรุก (Proactive Security): นำเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง AI ระบบอัตโนมัติ และการเฝ้าระวังแบบเรียลไทม์มาใช้ในการตรวจจับภัยคุกคามตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม บริหารความเสี่ยง และรักษามาตรฐานการกำกับดูแลการปฏิบัติตามข้อกำหนด
- นวัตกรรมขับเคลื่อนด้วย AI: วิสัยทัศน์ของ SCBX ในการผลักดันให้ 75% ของรายได้มาจากการใช้ AI สะท้อนถึงความเป็นผู้นำในการประยุกต์ใช้ AI เพื่อยกระดับความปลอดภัยและการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ระบบความปลอดภัยบนคลาวด์ (Cloud Security) ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นปัจจุบัน การพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ SCBX ได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ ด้วยการผสานการวางแผนเชิงกลยุทธ์ การบูรณาการความร่วมมือ และการประยุกต์ใช้เครื่องมือขั้นสูงที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อกำหนดมาตรฐานใหม่ให้กับองค์กรที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศ
ในงาน Cybersec Asia x Thailand International Cyber Week 2025 คุณเดนนิส ทรานิทสเชค Chief Technology Officer บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX ได้แบ่งปันมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับการยกระดับความปลอดภัยบนคลาวด์ พร้อมเผยกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบ
เสริมความแข็งแกร่งด้วย 4 เสาหลักความปลอดภัย
คุณเดนนิส อธิบายว่าการยกระดับความปลอดภัยบนคลาวด์จำเป็นต้องผสานการทำงานร่วมกัน นวัตกรรม และการวางแผนเชิงกลยุทธ์เข้าด้วยกัน โดยมีเสาหลัก 4 ประการที่จะช่วยสร้างระบบนิเวศคลาวด์ที่ปลอดภัยและยืดหยุ่น ดังนี้
1. สร้างความร่วมมือเพื่อความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง
รากฐานสำคัญของการใช้งานคลาวด์อย่างมีประสิทธิภาพ คือความไว้วางใจและความร่วมมือระหว่างองค์กรและผู้ให้บริการ การกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจนจึงเป็นกุญแจสำคัญ
“ความปลอดภัยบนคลาวด์เป็นความรับผิดชอบร่วมกัน องค์กรไม่ควรคาดหวังว่าผู้ให้บริการจะดูแลทุกอย่าง การทำความเข้าใจและกำหนดบทบาทให้ชัดเจนจะช่วยสร้างระบบนิเวศคลาวด์ที่แข็งแกร่งและปลอดภัย” คุณเดนนิสกล่าว
2. เพิ่มการมองเห็นและติดตาม
“โซลูชันความปลอดภัยบนคลาวด์ช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทำให้เข้าใจสภาพแวดล้อมดิจิทัลได้อย่างครอบคลุม” คุณเดนนิสอธิบาย “เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้องค์กรสามารถตรวจจับความผิดปกติ ระบุจุดเสี่ยง และรับมือกับภัยคุกคามได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น”
การเพิ่มการมองเห็นช่วยให้องค์กรสามารถ:
- เฝ้าระวังเชิงรุก: ตรวจจับและจัดการพฤติกรรมที่น่าสงสัยก่อนที่จะลุกลาม
- ใช้ระบบวิเคราะห์ขั้นสูง: นำ AI และ Machine Learning มาวิเคราะห์รูปแบบและคาดการณ์ภัยคุกคาม
- เสริมความแข็งแกร่งในการบริหารความเสี่ยง: สร้างภาพรวมของภัยคุกคามและติดตามการปฏิบัติตามกฎระเบียบเพื่อจัดลำดับความสำคัญในการรับมือ
3. ยกระดับประสิทธิภาพด้วยโซลูชันที่พัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับคลาวด์
โซลูชันที่พัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับคลาวด์ (Cloud-Native Solutions) ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบคลาวด์ให้สูงสุด ด้วยการผสานเทคโนโลยีขั้นสูงเข้าด้วยกัน ทั้งระบบอัตโนมัติ, กรอบการทำงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI และระบบควบคุมที่ปรับขนาดได้ เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านความปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานขององค์กรอีกด้วย
- ระบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ: การนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในกระบวนการรักษาความปลอดภัย ช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นโยบายมีความสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียว และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดจากการทำงานด้วยมือ
- กรอบการทำงานอัจฉริยะด้วยพลัง AI: ระบบ AI ถูกนำมาใช้ในการตรวจจับภัยคุกคาม วิเคราะห์ข้อมูล และคาดการณ์เหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ทำให้องค์กรสามารถรับมือกับความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ระบบควบคุมที่ปรับขนาดได้: มาตรการรักษาความปลอดภัยสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น รับประกันการป้องกันที่แข็งแกร่งแม้องค์กรมีการขยายตัว
การนำโซลูชันเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ ช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความปลอดภัย เพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน พร้อมรับมือกับความท้าทายด้านความปลอดภัยที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ยกระดับการกำกับดูแลและความสามารถในการเตรียมตัวและตอบสนองต่อภัยคุกคาม
ในยุคที่กฎระเบียบมีความเข้มงวด การปฏิบัติตามมาตรฐานไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่องค์กรต้องให้ความสำคัญ กลยุทธ์คลาวด์ที่ออกแบบมาอย่างรอบคอบจะช่วยให้องค์กรสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย พร้อมรักษาความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องจากภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
- การปฏิบัติตามมาตรฐานสากล: ผู้ให้บริการคลาวด์ส่วนใหญ่ได้พัฒนากรอบการกำกับดูแลไว้ในแพลตฟอร์ม เพื่อช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานระดับสากล เช่น GDPR, PDPA หรือ ISO 27001 การวางกลยุทธ์ด้านคลาวด์ให้สอดคล้องกับกรอบมาตรฐานเหล่านี้ ช่วยให้องค์กรสามารถแสดงความรับผิดชอบและรักษาความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
- ความสามารถในการเตรียมตัวและตอบสนองต่อภัยคุกคาม: กลยุทธ์ด้านคลาวด์ที่แข็งแกร่งต้องประกอบด้วยการอัปเดต ระบบอย่างสม่ำเสมอ การจำลองสถานการณ์ภัยคุกคาม และแผนกู้คืนระบบที่ครอบคลุม สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวรับมือกับความเสี่ยงรูปแบบใหม่ พร้อมรักษาความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
SCBX ผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้านความปลอดภัยบนคลาวด์
SCBX ได้วางกรอบการทำงานที่ครอบคลุมเพื่อยกระดับความปลอดภัยบนคลาวด์ ผสานการวางแผนเชิงกลยุทธ์ การควบคุมตัวตน และเทคโนโลยีขั้นสูงเข้าด้วยกัน เพื่อให้องค์กรสามารถรับมือกับความท้าทายด้านความปลอดภัยไซเบอร์ในยุคปัจจุบันได้อย่างมั่นใจ
1. กลยุทธ์: ป้องกันการโจมตีตั้งแต่จุดเริ่มต้น
SCBX ให้ความสำคัญกับมาตรการเชิงรุกในการปกป้องสภาพแวดล้อมคลาวด์ก่อนที่ภัยคุกคามจะเกิดขึ้น
- กลยุทธ์ความปลอดภัยบนคลาวด์ที่ชัดเจน: การวางแผนด้านความปลอดภัยที่ชัดเจนช่วยให้มั่นใจว่าการดำเนินงานสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรม
- การตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรฐานและการพัฒนาโค้ดที่ปลอดภัย: การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอและการยึดมั่นในแนวทางการพัฒนาที่ปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงในแอปพลิเคชันและระบบ
- การฝึกอบรมพนักงาน: การเสริมสร้างความรู้ด้านความเสี่ยงทางไซเบอร์ให้กับบุคลากร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันด่านแรกขององค์กร
2. การยืนยันตัวตน: กรอบการทำงานแบบ Zero Trust
SCBX ตระหนักถึงความสำคัญของการควบคุมตัวตน จึงนำแนวคิด Zero Trust มาใช้เพื่อลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึง
- หลักการ Zero Trust: ยึดหลักการไม่ไว้วางใจผู้ใช้หรืออุปกรณ์ใดโดยอัตโนมัติ ต้องมีการตรวจสอบยืนยันอย่างต่อเนื่อง
- การยืนยันตัวตนหลายปัจจัย (Multi-Factor Authentication: MFA): MFA เพิ่มระดับความปลอดภัยที่สำคัญ โดยรับรองว่าเฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่สำคัญได้
- การติดตามกิจกรรมผู้ใช้: การเฝ้าระวังพฤติกรรมผู้ใช้อย่างต่อเนื่องช่วยตรวจจับและบรรเทาภัยคุกคามที่เกี่ยวข้องกับตัวตนได้แบบเรียลไทม์
3. ความปลอดภัย: การป้องกันแบบหลายชั้น
SCBX ใช้แนวทางการป้องกันแบบหลายชั้น (multi-layer) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแอปพลิเคชันและเครือข่าย
- การแบ่งส่วนเครือข่าย: แบ่งเครือข่ายออกเป็นส่วนย่อยที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ข้ามส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต
- การรักษาความปลอดภัย API และจุดเชื่อมต่อ: ใช้ protocol ที่แข็งแกร่งในการปกป้องการไหลของข้อมูลและจุดเข้าถึงระบบที่สำคัญจากภัยคุกคามภายนอก
- การป้องกันแอปพลิเคชันและข้อมูล: ใช้การเข้ารหัสและโปรโตคอลความปลอดภัยขั้นสูงในการปกป้องข้อมูลที่สำคัญตลอดเวลา
4. การเฝ้าระวัง: ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์
การเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องและข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้ คือหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยของ SCBX
- ระบบข่าวกรองภัยคุกคามไซเบอร์ (Cyber Threat Intelligence: CTI) และการจัดการพื้นผิวการโจมตี (Attack Surface Management: ASM): เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้มองเห็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อการบรรเทาภัยคุกคามเชิงรุก
- แผนสำรองและกู้คืนข้อมูล: กลยุทธ์การกู้คืนระบบที่ครอบคลุมช่วยรับประกันความต่อเนื่องทางธุรกิจในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
5. นวัตกรรม: ความมุ่งมั่นของ SCBX ในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI
วิสัยทัศน์อันท้าทายของ SCBX ในการทำให้รายได้ 75% มาจากระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI ภายในสามปี สะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทในการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงทั้งด้านความปลอดภัยและนวัตกรรม ด้วยการผสานรวมเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างไร้รอยต่อ SCBX กำลังกำหนดนิยามใหม่ให้กับความปลอดภัยบนคลาวด์ด้วย:
- การตรวจจับภัยคุกคามเชิงรุก: ระบบ AI ขั้นสูงช่วยระบุช่องโหว่ตั้งแต่เนิ่นๆ และป้องกันการโจมตีก่อนที่จะลุกลาม
- การมองเห็นที่ครอบคลุม: ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ผ่าน dashboard อัจฉริยะให้มุมมองที่ครบถ้วนเกี่ยวกับประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย ช่วยให้ตอบสนองได้เร็วขึ้น
- การตัดสินใจที่ชาญฉลาด: การใช้ข้อมูลเชิงลึกช่วยให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว และมีข้อมูลรองรับในการจัดการกับภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างมีประสิทธิผล
ด้วยนวัตกรรมเหล่านี้ SCBX ไม่เพียงแต่เสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์เท่านั้น แต่ยังกำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับวิธีที่ AI สามารถเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยในยุคดิจิทัล