เจาะลึกการสร้างบุคลากรให้ตอบโจทย์วัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในแบบฉบับ SCBX
ดร. อารักษ์ เน้นย้ำถึงความจำเป็นของการนำ AI มาใช้ โดยให้ความสำคัญกับ “คนเป็นศูนย์กลาง” โดยเน้นว่าศักยภาพที่แท้จริงของเทคโนโลยีนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการพัฒนาทักษะของพนักงานอย่างต่อเนื่อง
ดร. อารักษ์ สุธีวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เดต้า เอกซ์ จำกัด (DataX) ได้ร่วมแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสำคัญของ AI ที่กำลังเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบัน ในงาน Techsauce Global Summit 2024 ภายใต้หัวข้อ “Building Talents to Fit in the AI-led Organizational Culture” ซึ่งได้ลงลึกถึงบทบาทของ AI ในปัจจุบันตลอดจนการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ และความสำคัญของการพัฒนาบุคลากรเพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับ AI เป็นอันดับแรก
ดร. อารักษ์ เน้นย้ำถึงความจำเป็นของการนำ AI มาใช้ โดยให้ความสำคัญกับ “คนเป็นศูนย์กลาง” โดยเน้นว่าศักยภาพที่แท้จริงของเทคโนโลยีนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการพัฒนาทักษะของพนักงานอย่างต่อเนื่องและส่งเสริมให้เกิดการใช้งานด้วยความรับผิดชอบ แผนงานที่ครอบคลุมในการผสานรวม AI เข้ากับวัฒนธรรมองค์กรนั้น ถือเป็นแนวทางสำคัญสำหรับธุรกิจที่กำลังเผชิญกับภูมิทัศน์ของ AI ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ความแพร่หลายและวิวัฒนาการของ AI
ดร. อารักษ์ เริ่มต้นด้วยการยอมรับถึงความแพร่หลายของ AI ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจปัจจุบัน “ทุกวันนี้ คุณไม่สามารถผ่านวันไปได้โดยไม่ได้ยินเกี่ยวกับ AI โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ” ความแพร่หลายนี้ตอกย้ำถึงศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงของ AI แต่การนำมาใช้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น ในขณะที่ความสามารถของ AI กำลังก้าวหน้าและพัฒนาอย่างรวดเร็ว การนำไปใช้อย่างแพร่หลายเป็นสิ่งสำคัญในการตระหนักถึงศักยภาพอย่างเต็มที่
ดร. อารักษ์ ได้กล่าวถึงเกณฑ์วัดสี่ประการที่กำหนดเส้นทางของ AI สำหรับ SCBX:
- 75% ของรายได้มาจาก AI ภายในปี 2570
- พนักงานของกลุ่ม SCBX 100% จะมีความรู้พื้นฐานด้าน AI ภายในปี 2568
- พัฒนาและใช้ประโยชน์จากความสามารถด้าน AI ขั้นสูงผ่านข้อมูลและการวิจัยและพัฒนา
- พัฒนาและนำนโยบายและระบบ AI ที่มีความรับผิดชอบมาใช้
มุ่งเน้นการนำไปใช้และการพัฒนาขีดความสามารถ
การพูดคุยในครั้งนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่องค์กรต้องมุ่งเน้นการนำ AI ไปใช้ ดร. อารักษ์ กล่าวว่า SCBX ตั้งเป้าหมายให้ 75% ของกระบวนการทางธุรกิจใช้ AI ภายในปี 2570 โดยครอบคลุมด้านต่างๆ เช่น การให้สินเชื่อ การพิจารณาสินเชื่อ การทำงานอัตโนมัติ คอลเซ็นเตอร์ และการตลาดในรูปแบบดิจิทัล อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ “ผมเชื่อในคนมากกว่าเทคโนโลยี” ดร.อารักษ์กล่าว โดยเน้นถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความรู้ด้าน AI ให้กับพนักงาน
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ SCBX วางแผนที่จะให้พนักงานทั้งหมด 25,000 ถึง 30,000 คนมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ AI ภายในปี 2568 ซึ่งรวมถึงการรู้ว่า AI คืออะไร มีความสามารถและข้อจำกัดอะไรบ้าง และมีประเด็นด้านจริยธรรมอย่างไร ในขณะที่ทีมวิจัยและพัฒนา หรือ R&D ดูแลรับผิดชอบโครงการ AI ขั้นสูง พนักงานส่วนใหญ่ต้องรู้สึกสบายใจและมีความสามารถในการใช้เครื่องมือ AI อย่างรับผิดชอบ
ส่งเสริมการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ
หนึ่งในความท้าทายหลักในการนำ AI มาใช้คือการดูและและส่งเสริมการใช้งานอย่างมีความรับผิดชอบ ในฐานะกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงิน SCBX ตระหนักถึงความรับผิดชอบในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินและความไว้วางใจของลูกค้า ดร. อารักษ์ อธิบายว่ากรอบการทำงานของ AI ที่มีความรับผิดชอบนั้นเป็นสิ่งสำคัญ “เราจำเป็นต้องสร้างความตระหนักรู้ แนะนำพนักงานของเรา และวางแนวทางการป้องกันเพื่อให้แน่ใจว่ามีการใช้ AI อย่างเหมาะสม”
ตัวอย่างเช่น ในด้านการกำกับดูแลการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (market conduct) นั้น SCBX ใช้โมเดลภาษาเพื่อวิเคราะห์การสนทนาที่บันทึกไว้ระหว่างตัวแทนและลูกค้า ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าสอดคล้องและเป็นไปตามมาตรฐานการกำกับดูแล โดยแทนที่วิธีการตรวจสอบแบบดั้งเดิมด้วยการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่แม่นยำและครอบคลุมมากขึ้น
สร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงในการทำงานและส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร
ความกังวลทั่วไปเกี่ยวกับการนำ AI มาใช้คือความเป็นไปได้ที่จะแทนที่งาน ดร. อารักษ์ ยอมรับในประเด็นนี้แต่ให้มุมมองที่ละเอียดอ่อนและรอบด้านว่า “แนวคิดที่ว่า AI จะมาแทนที่งานนั้นเป็นเรื่องที่ยังไม่ค่อยตรงกับความเป็นจริงในขณะนี้” เขากล่าว ในขณะที่งานบางอย่างอาจถูกทำให้เป็นอัตโนมัติ แต่ AI มีแนวโน้มที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและช่วยให้พนักงานสามารถมุ่งเน้นไปที่งานที่มีมูลค่าสูงขึ้น
เพื่อให้เติบโตในโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI พนักงานจำเป็นต้องยกระดับทักษะของตนอย่างต่อเนื่อง ดร. อารักษ์ ชี้ให้เห็นว่าคนรุ่นต่อไปควรเปลี่ยนจากการเป็นเพียงผู้ปฏิบัติไปสู่การเป็นนักคิดเชิงวิพากษ์ที่ใช้เครื่องมือ AI อย่างมีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นความท้าทายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ซึ่งระบบการศึกษายังคงยึดติดกับวิธีการสอนแบบยุคอุตสาหกรรม
การพูดคุยยังกล่าวถึงแหล่งบุคลากรที่มีความสามารถในประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ดร. อารักษ์ สังเกตว่าแม้ประเทศไทยจะมีกลุ่มบุคลากรที่มีคุณภาพสูง แต่ความเข้มข้นและปริมาณโดยรวมยังมีจำกัด เขาเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับความต้องการในยุค AI แม้ว่าการริเริ่ม เช่น การแข่งขัน Hackathon จะเผยให้เห็นถึงบุคลากรที่มีความสามารถที่น่าสนใจ แต่การขยายผลทั่วประเทศยังคงเป็นความท้าทาย
ส่งเสริมและสนับสนุนให้สตาร์ทอัพไทยก้าวสู่ระดับโลก
ดร. อารักษ์ ระบุถึงปัจจัยทางวัฒนธรรมที่อาจขัดขวางบริษัทเทคโนโลยีของไทยไม่ให้ก้าวสู่ความโดดเด่นในระดับโลก “ผู้ประกอบการไทยบางครั้งรู้สึกสบายเกินไปกับสิ่งที่ตลาดไทยมีให้” ต้องกระตุ้นให้ผู้ประกอบการก้าวข้ามตลาดในประเทศและสำรวจโอกาสในระดับโลก ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางความคิดที่สำคัญสำหรับการเติบโตของระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีของประเทศ
ดร. อารักษ์ สรุปทิ้งท้ายด้วยข้อคิดสำคัญสามประการ ได้แก่
- การนำ AI มาใช้เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้คน ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าเพียงใด ก็ไร้ประโยชน์หากผู้คนไม่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- วัฒนธรรมแห่งการทดลองและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ องค์กรต้องเปิดรับแนวคิดใหม่ๆ ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และเรียนรู้จากความผิดพลาด
- คนรุ่นต่อไปต้องเป็นคนที่เติบโตมาพร้อมกับ AI ระบบการศึกษาของประเทศมีบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้เยาวชนสำหรับโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI
ในขณะที่ AI ยังคงก้าวหน้าต่อไป สิ่งสำคัญยังคงชัดเจน: เสริมพลังให้บุคคลสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอันทรงพลังนี้อย่างมีความรับผิดชอบและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งธุรกิจและพนักงานจะเติบโตในยุค AI